Friday, February 15, 2013

วิธีดูแลผิวปาก ให้เรียบเนียน ด้วยธรรมชาติ

วิธีดูแลผิวปาก ให้เรียบเนียน ด้วยธรรมชาติ
ส่วนผสม
  • น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. นำน้ำตาลทราย, น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว มาผสมให้เข้ากัน
  2. นำไปขัดเบาๆ ที่ริมฝีปาก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เช็ดให้แห้ง
ทำเป็นประจำทุกอาทิตย์
ที่มา http://sakid.com/2010/11/07/26755/

เกร็ดความรู้ อาหารดับเครียด

เกร็ดความรู้ อาหารดับเครียด
  • กล้วย มี ทริปโตเฟน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดีขึ้น นอกจากนี้ วิตามินบี6 ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดมีผลไปถึงภาวะทางอารมณ์ด้วยเช่นกัน
  • วอลนัต นอกจากเป็นแหล่งที่ดีของโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งต้านมะเร็งแล้ว ผลวิจัยยังพบว่า มีผลต่ออารมณ์ และอัตราการลดลงของภาวะซึมเศร้า
  • เมล็ดทานตะวัน อุดม ไปด้วยโฟเลต และแมกนีเซียม ที่มีบทบาทในการควบคุม และส่งเสริมระดับอารมณ์ คลายความวิตกกังวล หงุดหงิด ซึมเศร้า ทั้งนี้ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า แมกนีเซียม เป็นประโยชน์ในการรักษาโรคซึมเศร้า แนวโน้มความวิตกกังวล หงุดหงิด รวมถึงอาการนอนไม่หลับ
  • ดาร์คช็อกโกแลต ช่วย กระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน นอกจากนี้ ยังมีทริปโตเฟนซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมเซโรโทนินสารสื่อ ประสาทที่ควบคุมอารมณ์ เมื่อร่างกายขับเซโรโทนินออกมา จะช่วยให้ผ่อนคลายความวิตกกังวล
  • ไข่ พบว่า สารอาหารหลายชนิดมีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงาน ช่วยเสริมสร้างความจำ และบรรเทาอาการของภาวะซึมเศร้าได้ด้วย
ที่มา http://sakid.com/2011/04/20/29139/

วิธีใส่เสื้อผ้า ให้ดูผอมเพรียวทันใจ ^^

วิธีใส่เสื้อผ้า ให้ดูผอมเพรียวทันใจ 5 ข้อ
  1. ใส่ เสื้อผ้าสีเข้ม เข้า ไว้ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าชุดสีดำนั้นช่วยพรางรูปร่างได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนที่คุณจะวิ่งไปซื้อมาใส่เต็มตู้ สำรวจนิดนึง ว่าซีซั่นนี้เสื้อผ้าสีเข้มสีใดที่มาแรง อาจเป็น สีน้ำเงินเข้มหรือเทาเข้ม ก็ได้
  2. รองเท้าส้นสูง มี ส่วนช่วยมาก ข้อเท็จจริงที่ว่ารองเท้าส้นสูงสามารถใส่ได้กับเสื้อผ้าทุกชุดนั้น คุณไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ข้อดีอีกข้อหนึ่งก็คือส้นสูง ยังทำให้ขาของคุณดูเรียวขึ้นและช่วยยกสะโพกขึ้นได้เล็กน้อย ไม่เชื่อลองดูสิ
  3. คาด เข็มขัดเส้นโต ใครจะเชื่อว่าความมหัศจรรย์ของเข็มขัดเส้นใหญ่จะมีจริง เพราะแค่ขนาดต่างกัน มันก็ทำให้เรือนร่างของคุณเปลี่ยนได้เช่นกัน
  4. อ้าแขนต้อนรับผิวสีแทน มันเยี่ยมมากถ้าคุณอยากจะพรางส่วนเกินชิ้นยักษ์ของคุณ หา ครีมทาผิวสีแทน มาทาส่วนเกินสักนิด อย่าทาทั้งตัว แต่ให้นึกถึงการทำไฮไลต์เข้าไว้แล้วเรือนร่างของคุณจะดูมีมิติขึ้น
  5. หาจุดเด่นของตัวเอง และ เผยให้ดูโดดเด้งที่สุด โอกาสดีเป็นของคุณแล้ว ถ้าคุณเป็นคนมีหน้าอกก็ให้ใส่ชุดเข้ารูปเล็กน้อย หรือถ้าเป็นสาวขาเรียวเลือกใส่สกินนี่จะดีที่สุด เพราะเมื่อจุดเด่นของคุณเด่นชัด แน่นอนจุดด้อย จะจางหายไปทันที แต่ก็อย่าให้มากจนดูไม่งามล่ะ
ที่มา http://sakid.com/2010/02/16/20701/

อาหารต้องห้าม เวลาท้องเสีย

อาหารต้องห้าม เวลาท้องเสีย (เรื่องน่ารู้)
อาการท้องเสียเรื้อรัง มักมีอาการปวดท้องและถ่ายเหลว ซึ่งจะเป็นๆหายๆนานติดต่อกันเป็นแรมเดือน บางทีเราอาจเรียกอาการนี้ว่า “โรคธาตุอ่อน”
อาหารต้องห้าม ได้แก่ อาหารรสเปรี้ยว รสเผ็ด อาหารมัน น้ำส้มสายชู กะทิ เหล้า เบียร์ นมสด ชา กาแฟ
อาหารควรกิน ได้แก่ กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ อาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารที่มีจุลินทรีย์แล็คโตบาซิลลัส (Lactobacillus) หรือไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacterium) และไม่ควรกินอาหารแต่ละครั้งมากเกินไป นอกจากนี้ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
อาการท้องเสียเฉียบพลัน เป็นอาการที่เกิดอย่างทันทันใด มีลักษณะถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง และมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
อาหารต้องห้าม ได้แก่ผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้
อาหารควรกิน ได้แก่ ผงน้ำตาลเกลือแร่ชงน้ำ ซึ่งใช้ดื่มบ่อยๆ แทนน้ำอาหารที่ย่อยง่าย โดยเน้นอาหารที่มีข้าวหรือแป้งเป็นหลัก
ที่มา http://sakid.com/2010/03/31/21603/

วิธีแก้เผ็ดแบบง่ายๆ

วิธีแก้เผ็ด

วันนี้มีวิธีแก้เผ็ดมาฝากค่ะ
ปกติเราจะกินน้ำเย็นเพราะคิว่าจะช่วยแก้เผ็ดได้ แต่รู้ไหมคะว่าน้ำเย็นนั้น ทำให้กระจายความเผ็ดให้ทั่วปากมากขึ้นแทน
ทางแก้เผ็ดที่ถูกวิธีคือ
1.ทานข้าวเปล่า ขนมปัง หรือดื่มนม
เพราะความหวานจะช่วยดูดซับสารแคปไซซิน(Capsaicin) ที่เป็นตัวการให้เกิดความเผ็ดร้อน
2.ดื่มน้ำมะนาวหรือน้ำมะเขือเทศสดๆ
จะช่วยแก้เผ็ดได้ เพราะกรดจะไปทำปฏิกิริยากับสารสารแคปไซซิน(Capsaicin) ซึ่งเป็นด่าง จะช่วยให้ความเผ็นลดลง
ที่มา http://sakid.com/2006/06/05/872/

วิธีทำความสะอาดมู่ลี่

วิธีทำความสะอาดมู่ลี่
สำหรับแม่บ้านมือใหม่ ยังไม่มีวิธีทำความสะอาด มู่ลี่สวยๆ ที่ติดไว้บริเวณหน้าต่าง วันนี้สะกิด มีวิธีทำความสะอาด แบบง่ายๆมาฝากกันค่ะ
  1. เลือกบริเวณลานบ้านที่พื้นผิวเรียบและมีความลาดเอียงเล็กน้อย นำผ้านวมหรือผ้าห่มผืนเก่าที่ไม่ใช้แล้วเตรียมเอาไว้
  2. ปิดบานพับมู่ลี่ให้ลู่ลง ตรวจดูให้แน่ใจว่าบานพับทุกซี่ปิดหมดเรียบร้อยแล้ว
  3. จากนั้นจึงถอดมู่ลี่ออกแล้ววางลงบนผ้านวมหรือผ้าห่มที่เตรียมไว้
  4. ผสมน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์หรือไม่ก็น้ำยาสูตรแอมโมเนียจากนั้นใช้น้ำยาที่ผสมนี้ชโลมมู่ลี่ให้ชุ่มและใช้แปรงนุ่ม ๆ ขัดโดยขัดไปในแนวเดียวกับบานมู่ลี่
  5. ข้อสำคัญ เชือกดึงมู่ลี่จะต้องไม่โดนทับ เมื่อทำความสะอาดบานพับด้านหนึ่งเสร็จดีแล้วก็ปิดบานพับลู่ลงหรือลู่ขึ้นไปอีกด้านหนึ่งล้างและขัดให้สะอาด
  6. ขึงมู่ลี่กับราวตากผ้าหรือขึงกับบันไดต่อขาก็ได้ หรืออาจจะให้ใครอีกคนยืนถือเอาไว้ก็ได้
  7. จากนั้นก็เขย่า ๆ และทิ้งไว้ให้แห้งแล้วจึงนำกลับไปแขวนไว้ที่เดิม แต่ถ้ามู่ลี่เป็นสีเข้ม ก็ควรซับหรือเช็ดมู่ลี่ให้แห้งเสียก่อนเพื่อป้องกันคราบหยดน้ำ
วิธีทำความสะอาดแบบง่ายๆ อีกแบบ คือ ทำความสะอาดโดยทั่วไปความถี่ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือ ตามความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดคราบฝังแน่น
โดยปิดมู่ลี่ลงและปรับใบมู่ลี่ให้ลู่ลง เพื่อเช็ดฝุ่นด้านแรกก่อน และ ปรับใบมู่ลี่ให้พลิกกลับด้านเพื่อเช็ดด้านที่สอง
ถ้าต้องการทำความสะอาด อย่างดี คราบเยอะ ฝังแน่น ให้เตรียมอุปกรณ์การทำให้พร้อม คือ
  • แปรงนุ่มๆ,  สายยางฉีดน้ำ, น้ำยาทำความสะอาด
  • ราวตากผ้า, ผ้านวม(ใช้ผ้านวมผืนเก่า ที่ไม่ใช้แล้ว)
  1. ปิดมู่ลี่ให้ใบมู่ลี่ลู่ลง และ ถอดมู่ลี่ลงจากขาจับยึด แล้วนำไปวางลงบนผ้านวม
  2. ผสมน้ำยาทำความสะอาด ใช้แปรงนุ่มๆขัดมู่ลี่ให้สะอาด และ ให้ระวังใบมู่ลี่ บิดงอ
  3. นำมู่ลี่ไปยึดไว้กับราวตากผ้ แล้วนำสายยางฉีดน้ำที่เตรีมไว้มาฉีดน้ำ เพื่อล้างน้ำยาทำความสะอาด
  4. นำผ้ามาซับน้ำเพื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำ และ ปล่อยไว้จนแห้งจึงนำมาประกอบเก็บกลับที่เดิม
ที่มา http://sakid.com/2011/08/29/30402/

เรื่องน่ารู้ แอปเปิ้ล + น้ำผึ้ง แก้รอยสิว ??

เรื่องน่ารู้ แอปเปิ้ล + น้ำผึ้ง แก้รอยสิว
ก่อนอื่น ต้องเตรียม แอปเปิ้ล ให้พร้อมนะคะ ใช้แอปปเปิ้ลเขียว
  • ล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้ง
  • จากนั้นใช้เนื้อแอปเปิ้ลเขียวครึ่งผล ผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ บดรวมกันให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
  • ทาให้ทั่วใบหน้า เน้นเป็นพิเศษบริเวณที่เป็นแผลเป็น ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
ที่มา http://sakid.com/2009/02/10/10902/

เรื่องน่ารู้ สูตรสวยหน้าใส ด้วย สตรอว์เบอร์รี่

เรื่องน่ารู้ สูตรสวยหน้าใส ด้วย สตรอว์เบอร์รี่
ส่วนประกอบ
  • สตรอว์เบอร์รี่ 3 ผล,โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. บดสตรอว์เบอร์รีให้ละเอียด นำมาผสมกับส่วนผสมที่เหลือให้เข้ากัน
  2. พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำเย็น
ที่มา http://sakid.com/2009/08/12/16469/

ทำชีวิตให้ “สำราญ” ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

บทความดีๆ ทำชีวิตให้ “สำราญ” ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
  • หันมามองสิ่งดี ๆ ในตัวเอง : การให้กำลังใจตัวเองเวลามีเรื่องทุกข์ใจ สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้คือ หันมามองสิ่งดี ๆ ในตัวเอง เพราะไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า แม้แต่คนโง่สุดก็ยังฉลาดบางเรื่อง หรือคนฉลาดที่สุดก็ยังโง่ในบางเรื่อง
  • เติมพลังจากคนที่เรารัก : บางช่วงที่คนเรารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง การนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่ทำร่วมกันกับคนรัก หรือคนที่รักเรา ก็สามารถช่วยปลุกพลังในตัวขึ้นมาได้มากทีเดียว
  • เมื่อทุกข์มา..เดี๋ยวก็ผ่านไป : เมื่อความทุกข์ผ่านเข้ามา ขอให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า “ทุกข์มาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” อย่าเอาความผิดพลาดในอดีต หรือความคาดหวังในอนาคตมากดดันให้เราเกิดความเครียด
  • กอดตัวเองให้เป็น : เวลามีปัญหา หรือมีเรื่องทุกข์ใจ กำลังใจที่ดีที่สุดคือ ต้องอยู่กับตัวเองให้เป็น และจัดการกับความทุกข์ให้หายไปด้วยตัวของเราเอง
  • ยกภูเขาคนอื่นออกจากอกบ้างก็ได้ : อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้กำลังใจของเราหายไปก็คือ การทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น ดังนั้นปัญหาใครไม่ควรเอามาเป็นปัญหาของเรา รับฟังได้ แต่อย่าเก็บมาทุกข์แทนเขา อย่างน้อย ๆ แค่เป็นเพื่อน และชี้ทางเลือกก็เพียงพอแล้ว
ที่มา http://sakid.com/2011/06/15/29769/

เรื่องน่ารู้ ข้อแนะนำ… ในการลดน้ำหนัก

เรื่องน่ารู้ ข้อแนะนำ… ในการลดน้ำหนัก
  1. ลดน้ำหนักทีละน้อย สัปดาห์ละ 1/2-1 กิโลกรัม
  2. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ไม่ขาดหมู่ใดหมู่หนึ่ง
  3. กินอาหารให้ครบทุกมื้อและลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลง
  4. งดอาหารขบเคี้ยวทุกชนิดและอาหารว่างระหว่างมื้อ
  5. งดขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารขยะทุกชนิด
  6. งดอาหารทอดที่มีไขมันสูง เช่น ปาท่องโก๋ กล้วยแขก ฯลฯ
  7. งดการใช้น้ำตาลในการปรุงอาหาร
  8. งดเนื้อสัตว์ติดมัน และหนังสัตว์ ใช้เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ (Lean meat) ปลา ฯลฯ
  9. กินผลไม้ที่มีรสหวานไม่จัด และกินผลไม้ทั้งผล งดการกินน้ำผลไม้คั้น ผลไม้กระป๋อง
  10. กินผักใบเขียว-ขาว และผักอื่น ๆ ทุกมื้อ และหลากหลายชนิดใน 1 วัน
  11. ตักข้าวตามจำนวนที่ต้องกินครั้งเดียว ไม่ตักเพิ่มอีก
  12. กินอาหารช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียดประมาณคำละ 10 ครั้ง
  13. กินอาหารพออิ่ม ไม่เสียดายอาหารที่เหลือ
  14. ออกกำลังกายให้เพียงพอและสม่ำเสมอทุกวัน
ที่มา http://sakid.com/2010/03/30/21571/

วิธีทำความสะอาด คราบน้ำมันเลอะผ้าม่าน

วิธีทำความสะอาด คราบน้ำมันเลอะผ้าม่าน
  • แผ่ผ้าม่านลงบนพื้นเรียบ แล้วใช้ช้อนพลาสติกขูดเมือกจากคราบน้ำมันออก
  • โรยผงเบกกิ้งโซดาหรือแป้งเด็กลงไปบนคราบ แล้วปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที
  • ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดผงเบกกิ้งโซดาหรือแป้งออกจากผ้าม่าน หรือนำผ้าม่านไปสะบัดผงแป้งออกข้างนอกบ้าน
  • ใช้ผ้าแห้งๆ จุ่มน้ำยาซักแห้งแล้วแต้มลงไปบนคราบน้ำมัน อย่าขัดหรือถู ค่อยๆ เริ่มแต้มจากขอบนอกของรอยคราบเข้าไปยังกึ่งกลาง ทำไปเรื่อยๆ จนคราบจางไป
  • นำผ้าม่านไปแช่ในน้ำยาขจัดคราบ 15 นาที หรือตามที่ระบุในวิธีการใช้น้ำยาขจัดคราบ แล้วนำผ้าม่านไปซักให้สะอาดอีกทีในน้ำเย็น
ที่มา http://sakid.com/2011/06/22/29855/

วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้

วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้

วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้

ผลไม้หลากหลายชนิด สามารถนำมาบำรุงผิวหน้า เพื่อทำให้หน้าใสเนียน จากธรรมชาติ

1. สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว

ส่วนผสม

  • น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

วิธีทำ

  1. ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที
  2. หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น

2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

ส่วนผสม

  • แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง
  2. ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที
  3. หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย

3. สูตรกระชับรูขุมขน

ส่วนผสม

  • กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่
  • ปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว

วิธีทำ

  1. ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
  2. นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม
  3. นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ
  4. ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
  5. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)

ส่วนผสม

  • โยเกิร์ต ½ ถ้วย
  • น้ำมันดอกทานตะวัน
  • มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน
  2. นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที
  3. ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย

ส่วนผสม

  • กล้วย 1 ผล
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน
  2. นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที
  3. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง

6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา

ส่วนผสม

  • แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
  2. นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา
  3. ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
  4. แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
ที่มา http://sakid.com/2012/09/17/32131/

วิธีดูแลตัวเอง หน้าหนาว อากาศเย็น

วิธีดูแลตัวเอง หน้าหนาว อากาศเย็น
หน้าหนาว ความหนาวเย็นมาเยือน เมื่อไปเที่ยว หรืออยู่บ้านสัมผัสอากาศเย็นอยู่เสมอ อาจจะทำให้เป็นไข้หวัดได้ง่าย สะกิดมีวิธ๊ดูแลตัวเอง เมื่อเข้าหน้าหนาวมาฝากค่ะ
  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นพวกโปรตีน ผัก ผลไม้ น้ำเปล่า งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ
  2. ช่วงหนาวจัดควรหลีกเลี่ยงลมแรง เพราะลมจะเป็นตัวพัดความชุ่มชื้นออกไปจากผิว สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดผิว และทาครีมบำรุงชนิดเข้มข้นจึงจะสู้ลมหนาวได้นาน
  3. หน้าหนาวอากาศจะแห้งมาก ควรทาครีม ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
  4. อย่าปล่อยให้ปากแห้ง หมั่นทา Scrub ที่ริมฝีปากอยู่เสมอ หรืออาจจะใช้ ลิปบาล์ม สูตรเข้มข้นแทนก็ได้นะคะ
  5. ใส่เสื้อผ้าเพื่อให้ความอบอุ่นกับร่างกายอย่างสมำเสมอ
  6. อยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ควรเข้าไปในสถานที่แออัด
ที่มา http://sakid.com/2011/11/29/30638/

เรื่องน่ารู้ วิธีดับร้อน แบบง่ายๆ

เรื่องน่ารู้ วิธีดับร้อน แบบง่ายๆ
  1. หาไอติมกิน แนะนำว่าให้ไปกินตามห้างจะได้ประหยัดแอร์ที่บ้านด้วย
  2. ถ้ายังไม่หายร้อนให้ไปหาน้ำแข็งใสกิน
  3. เสื้อผ้าก็อย่าใส่สีเข้มอย่างสีดำเพราะจะทำให้รู้สึกร้อนมากกว่าเดิม
  4. เลือกใส่เสื้อผ้าทำจากผ้าฝ้าย จะช่วยระบายอากาศและความร้อนได้ดี หรือถ้าอยู่บ้านจะใส่น้อยชิ้นก็ไม่มีใครว่า แต่ถอย่าแก้ผ้ามันน่ากลัว
  5. ดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวันหรือมากเท่าที่คุณจะดื่มได้ นอกจากไม่ร้อนแล้ว ยังดีต่อการขับถ่ายด้วย
  6. ปิดม่านตอนกลางวัน และเปิดรับอากาศเย็นตอนกลางคืน ทางที่ดีไม่ควรอยู่บ้าน แต่ไปอยู่ห้างดีกว่า
  7. อย่าไปวิ่งเล่นนอกบ้านตอนเที่ยง
  8. ลดอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศและเลือกกินผักผลไม้ที่มีน้ำเยอะ เช่น แตงโม
  9. กางร่ม สวมหมวกทุกครั้งที่ออกแดด
  10. ความร้อนจะทำให้รู้สึกง่วง การงีบหลับสักพักจะช่วยให้กระปรี้กระเปร่า แต่ไม่ใช่นอนอืดทั้งวันนะ
  11. พกกระปุกสเปรย์ใส่น้ำสะอาดติดตัวไว้ฉีดตามหน้า แขน ขา ช่วยดับร้อนและรู้สึกสดชื่นได้ดี
  12. อาบน้ำให้ตัวเย็น จะได้ใจเย็นไปด้วย
ที่มา http://sakid.com/2011/05/02/29252/

เกร็ดความรู้ วิธีสร้างบุคลิกภาพ ให้ดูดี

เกร็ดความรู้ วิธีสร้างบุคลิกภาพ ให้ดูดี
  • เริ่มจาก การมอง เพราะสายตาสามารถบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกได้ เช่น ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเคารพ หรือความเหยียดหยามดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้น เวลามองผู้อื่นควรใช้สายตาที่แสดงถึงความสุภาพเรียบร้อย การเดิน ต้องใส่ความมั่นใจและสง่างาม คือเดินตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ก้าวเท้ายาวพอประมาณและสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่
  • การแต่งกาย ที่บ่งบอกถึงการเอาใจใส่ตัวเอง เพราะการแต่งกายจะทำให้ดูดีหรือดูแย่ได้ ดังนั้นควรเลือกเครื่องแต่งกายเหมาะสมกับกาลเทศะ สะอาดเรียบร้อย
  • การพูด การพูดต้องมีศิลปะ พูดเพื่อให้ชนะใจผู้ฟัง โดยคำพูดต้องสุภาพ มีเหตุผล น้ำเสียงไพเราะชวนฟัง และการใช้คำพูดควรเหมาะสมกับผู้ฟัง โดยคำนึงถึงวัย เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และความสนใจพิเศษของผู้ฟัง
  • สุขภาพ คือ สุขภาพดี ไม่มีโรคภัย ร่างกายแข็งแรง เพราะคนป่วยออด ๆ แอด ๆ จะดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว บางโรคส่งผลถึงความซีดเซียว ห่อเหี่ยวหม่นหมอง จนขาดสง่าราศรี ฉะนั้นการดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญ
ที่มา http://sakid.com/2010/12/16/27452/

เรื่องดีๆน่าอ่าน เหตุผล… ที่ควรยิ้ม

เรื่องดีๆน่าอ่าน เหตุผล… ที่ควรยิ้ม
  • เพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณได้ทำงาน ซะบ้าง
  • ถ้าคุณยิ้มให้เขา มีหรือเข้าจะไม่ยิ้มตอบคุณ
  • อย่างน้อยคุณจะได้ให้เขาช่วยเตือนว่ามีเศษผักสีเขียวมรกต ยังคง สนุกสนานในปากคุณ
  • การยิ้มเป็นการเริ่มต้นแห่งมิตรภาพที่ดีที่สุด
  • ถ้าคุณไม่ยอมยิ้ม แล้วใครจะได้เห็นล่ะว่า คุณมีลักยิ้มที่น่ารักที่สุด
  • เมื่อคุณทำผิดแล้วโดนจับได้ การแก้ตัวก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่การยิ้มเจื่อนๆ แบบว่า แย่จัง!! คุณจะดูเหมือน พวกที่สำนึกผิด แล้วใครล่ะ จะกล้าโกรธคุณลง
  • ยิ้มสวยๆ จะทำให้คนหน้าตาธรรมดาๆ ดูดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ
  • การยิ้มในวันที่อ่อนล้าหรือเซ็งสุดๆ ในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกดีขึ้น
  • ถ้าคุณพูดไม่เก่ง ลีลาไม่เด็ด ให้ยิ้มมากๆ เป็นการชดเชย
  • รอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกใครๆ ว่าคุณพร้อมจะเปิดใจแล้ว
  • ยิ้มดีๆ เพียงครั้งเดียวดีกว่าคำพูดนับแสนคำ
 ที่มา http://sakid.com/2011/08/10/30274/

เรื่องน่ารู้ สูตรหมักผม แบบธรรมชาติ

เรื่องน่ารู้ สูตรหมักผม แบบธรรมชาติ
ส่วนผสม
  • อโวคาโด 1/2 ลูก, ไข่ 1 ฟอง, น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. นำลูกอะโวคาโด มาหั่นครึ่ง ขูดเอาเนื้อออก บดให้ละเอียด
  2. แยกไข่แดง ออกจากไข่ขาว นำมาผสมกับอโวคาโด ใน ข้อ 1
  3. จากนั้นใส่น้ำมันมะกอก ผสมให้เข้ากัน
  4. นำส่่วนผสมที่ได้ ไปหมักผม
  5. ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที
  6. จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

เกร็ดความรู้ วิธีหุงข้าวกล้องให้นุ่มอร่อย น่ากิน

เกร็ดความรู้ วิธีหุงข้าวกล้องให้นุ่มอร่อย น่ากิน
วิธีหุงข้าวกล้องให้อร่อย
ข้าว เมล็ดสีน้ำตาล ที่เรียกกันว่า ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เนื่องจากผ่านกระบวนการกระเทาะเปลือกเพียงครั้งเดียว ทำให้จมูกข้าวและรำข้าวที่อุดมไปด้วยวิตามินยังคงอยู่
วิธีทำ
  1. หุงให้นุ่มน่ารับประทาน ทำได้ไม่ยาก เพียงตวงข้าวกล้องใส่หม้อในอัตราส่วน ข้าว 1 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน แช่ทิ้งไว้ 30 นาที จึงนำไปหุงตามปกติ
  2. หรือ อาจหุงโดยการใส่ข้าวขาวขัดผสมลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 4 เพื่อเพิ่มความนุ่มให้กับข้าว
  3. เคล็ดลับอีกอย่างคือ การบีบมะนาวลงไปสักเสี้ยวจะช่วยให้ข้าวนุ่มขึ้น
ที่มา http://sakid.com/2010/12/20/27559/

เรื่องน่ารู้ ดูแลรักษาต้นไม้ ช่วงหน้าฝน

เรื่องน่ารู้ ดูแลรักษาต้นไม้ ช่วงหน้าฝน

  • ต้องตัดแต่งกิ่งต้นไม้ยืนต้นให้โปร่งก่อนเข้าหน้าฝน ถ้ากิ่งก้านทึบมากเกินไปจะทำให้กิ่งฉีก หักได้ง่าย เพราะน้ำฝนที่เกาะบนใบไม้ในปริมาณมาก จะมีน้ำหนักมากขึ้นทำให้กิ่งฉีกขาดเสียหาย นอก จากนี้หน้าฝนจะมีพายุและลมแรง ทำให้กิ่งไม้ฉีกขาดหรือหักได้
  • ต้องมั่นใจว่าพื้นที่ปลูกต้นไม้ไม่มีน้ำท่วมขัง เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้ต้นไม้เกิดอาการรากเน่า ควรจะปรับเนินดินเพื่อไม่ให้น้ำขังบริเวณโคนต้น ถ้าทำเนินดินแล้วต้นไม้ยังได้น้ำมากเกินไปอยู่ ควรจะทำระบบระบายน้ำจากบริเวณรอบโคนต้นไม้ ให้น้ำไหลออกไปเร็วที่สุด แต่ควรระวังปริมาณดินที่มาปรับทำเนินจะทำให้เกิดอันตรายต่อต้นไม้ได้
  • ควรฉีดยาพ่น ยาป้องกันกำจัดเชื้อราด้วย เพราะเชื้อราคือสาเหตุที่ทำให้ผลผลิตและคุณภาพ ของพืชพรรณลดลง
  • หมั่นกำจัดวัชพืชที่ขึ้นปกคลุมต้นไม้เป็นประจำ เพราะหน้าฝนวัชพืชจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและขึ้นปกคลุมต้นไม้ แย่งอาหารและแสงแดด ทำให้ต้นไม้อ่อนแอ ตลอดจนเป็นแหล่งสะสม เชื้อราและโรคพืช ถ้าหากปล่อยให้วัชพืชโตเกินไปจะทำให้กำจัดยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง
  • ควรพรวนดินเพื่อให้ดินมีโอกาสแห้งในระดับผิวดินบ้าง และรากต้นไม้ที่อยู่ในระดับหน้าดิน จะได้รับออกซิเจนบ้าง
  • ไม่ควรใส่ปุ๋ยมากเกินไป หรือถ้าใส่ต้องรีบพรวนดินเพื่อให้ดินกลบปุ๋ยก่อนที่น้ำฝนจะชะล้างปุ๋ย ให้ไหลไปที่อื่น เพราะถือเป็นการสิ้นเปลือง
  • สำหรับต้นไม้ที่ปลูกใหม่ควรค้ำยันให้ดี เพราะ ยังไม่มีรากที่จะยึดเกาะดินพยุงลำต้นได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งลมแรงอาจทำให้ต้นไม้โอนเอนไปตามลม ซึ่งจะทำลายระบบรากที่กำลังแตกออก อาจทำให้ต้นไม้ชะงักการเจริญเติบโตได้
ที่มา http://sakid.com/2010/05/12/22495/

เรื่องน่ารู้ วิธีดูแลสุขภาพ… รับมือกับหน้าร้อน

เรื่องน่ารู้ วิธีดูแลสุขภาพ… รับมือกับหน้าร้อน

  1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยให้คุณเจ็บป่วยน้อยลง
  2. ควรดื่มน้ำเยอะๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก และควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถรับประทานได้
  3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตาก ลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นไข้หวัดได้
  4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ
  5. ควรเลือกทานอาหารอ่อนๆ ตอนเช้า เช่น ข้าวต้ม เพราะในช่วงเช้ายังไม่ควรทานอาหารที่หนัก ๆ แค่ทานผักผลไม้เยอะ ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ
  6. ควรดูแลสุขภาพของเด็กๆ โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการดำเนินชีวิต
  7. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ สิ่งที่ควรปฏิบัติในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นไข้หวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัด หรือเย็นจัด
  8. บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คือ คนสูงอายุ ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด หรือถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น
  9. อย่าทา ครีมกันแดด อย่างเร่งรีบ แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้ทาให้ทั่วถึงแม้แต่ ในร่มผ้า ด้วย โดยทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และหลัง ว่ายน้ำ แม้ผลิตภัณฑ์จะเป็นสูตรกันน้ำ ก็ตาม โดยควรเลือกที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรอง รังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier
  10. อากาศร้อนจัดมีผลต่อ อารมณ์ หงุดหงิด และ หดหู่ (SAD – Seasonal Affective Disorder) จากสถิติ ผู้หญิงจะเป็นมากกว่า ผู้ชาย ดังนั้นลองออกไป เดินเล่น ช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือช่วงที่คนไม่มาก สิ่งสำคัญคือ พยายาม กระฉับกระเฉง เข้าไว้
  11. หากผิวแสบร้อนจาก การโดนแดด แพทย์ ผิวหนัง แนะนำให้กิน ยาแอสไพริน เพื่อลด อาการเจ็บปวด แล้วลองแช่ตัว ใน อ่างน้ำ อุณหภูมิร่างกาย โดยใส่ ออยล์ สำหรับ แช่อาบ จากนั้น บำรุงผิว ด้วย โลชัน ที่มีส่วนผสมของ ว่านหางจระเข้ หรือ อาฟเตอร์ซันเจล และหลีกเลี่ยงแดด ในวันถัดไป
  12. ลองทำ สเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียม อย่างง่าย ๆ คือ น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่ เอสเซ็นเชียลออยล์ กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ 2 หยด และ สเปียร์มิ้นต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ใน กระบอกฉีด สำหรับพกติดตัว
  13. หากต้องออกไปเผชิญ อากาศร้อน ภายนอก ควรใช้ เครื่องสำอาง เนื้อครีม ที่ปัจจุบันมี เนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามัน ปัดทับด้วย บรอนเซอร์ หรือ แป้งชนิดฝุ่น

เรื่องน่ารู้ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ยามท้องว่าง

เรื่องน่ารู้ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ยามท้องว่าง
  1. นมและถั่วเหลือง เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆจะมีประโยชน์นั้น แท้ที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้
  2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรา รู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
  3. ผัก บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆแทนข้าว โดยเฉพาะนที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
  4. กล้วย คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆจะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
  5. ชาแก่ ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือ ของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
  6. ลูกพลับ เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
  7. เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
ที่มา http://sakid.com/2010/05/09/22400/

อาหารแ้ก้ง่วง ^//^

อาหารช่วยแก้ง่วง
ยามบ่าย กินข้าวกิน อยากนอน ทำยังไงดี ของีบซัก 5 นาที ก็กลัวเจ้านายบ่น มาหาของกินแก้ง่วงติดไว้ที่โต๊ะทำงานกันดีกว่า ค่ะ
  1. ผักผลไม้อุดมวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและกังวล
  2. ผลไม้ที่มีโครเมียม ได้แก่ แอปเปิล กล้วย มันฝรั่ง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย
  3. เมล็ดพืชมากคุณค่า ได้แก่ งา ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) และจมูกข้าวสาลี ซึ่งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยบำรุงประสาทและช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น
  4. ไขมันดีๆ จากปลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เสริมโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้แก่ร่างกาย และยังช่วยทำให้สมาธิและความจดจำดีขึ้น

Tuesday, February 12, 2013

ภูมิปัญญาไทย






ภูมิปัญญา หมายถึง พื้นฐานความรู้ความสามารถ ความคิด ความเชื่อ ความสามารถทางพฤติกรรม ความสามารถในการแก้ไขปัญหา โดยใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ในการปรับตัว และดำรงชีพในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ในการปรับตัว และดำรงชีพในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ได้มีการพัฒนาสืบสานกันมา อันเป็นผลของการใช้สติปัญญาปรับตัวให้เข้ากับสภาพต่าง ๆ ในพื้นที่ที่กลุ่มชนเหล่านั้นตั้งถิ่นฐานอยู่ รวมทั้งได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับกลุ่มอื่น
ดังนั้นภูมิปัญญาไทย จึงหมายถึง องค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของการดำรงชีวิตของคนไทยที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อม ที่ประกอบด้วยแนวคิดในการแก้ปัญหาของตนเองจนเกิดการหลอมรวมเป็นแนวความคิดสำหรับแก้ปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ซึ่งสามารถพัฒนาความรู้ดังกล่าว แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและการดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามกาลเวลา
ประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีมากมายหลายแขนง แต่มักจะถูกมองว่าล้าหลัคนบางกลุ่มจึงไม่ค่อยให้ความนิยมและสืบสานกันมากนัก ส่วนใหญ่แล้วภูมิปัญญาท้องถิ่นมักสืบทอดบอกกล่าวกันเป็นการภายใน เช่น สูตรทำอาหาร หรือตำรับตำราต่าง ๆ ทำให้ไม่เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป อาจจำแนกภูมิปัญญาท้องถิ่นออกเป็น 10 ลักษณะได้ดังนี้
  1. ภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับความเชื่อและศาสนา - ภูมิปัญญาประเภทนี้จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เนื่องจากมีพื้นฐานทางความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างกัน สำหรับภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยซึ่งเกี่ยวกับความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักนั้นได้มีส่วนสร้างสรรค์สังคม โดยการผสมผสานกับความเชื่อดังเดิมจนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น
  2. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรม - เนื่องจากประเพณีและพิธีกรรมเป็นสิ่งที่ดีงามที่คนในท้องถิ่นสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจคนในสังคม ภูมิปัญญาประเภทนี้จึงมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในสังคมเป็นอย่างมากดังจะเห็นได้จากประเพณีและพิธีกรรมที่สำคัญในประเทศไทยล้วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนในสังคมแทบทั้งสิ้น
  3. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับศิลปะพื้นบ้าน - เป็นการสร้างสรรค์งานศิลปต่างๆโดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันหลังจากนั้นได้สืบทอดโดยการพัฒนาอย่างไม่ขาดสายกลายเป็นศิลปะที่มีคุณค่าเฉพาะถิ่น
  4. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับอาหารและผักพื้นบ้าน - นอกจากมนุษย์จะนำอาหารมาบริโภคเพื่อการอยู่รอดแล้ว มนุษย์ยังได้นำเทคนิคการถนอมอาหารและการปรุงอาหารมาใช้ เพื่อให้อาหารที่มีมากเกินความต้องการสามารถเก็บไว้บริโภคได้เป็นเวลานานซึ่งถือว่าเป็นภูมิปัญญาอีกประเภทหนึ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต นอกจากนี้ยังนำผักพื้นบ้านชนิดต่างๆมาบริโภคอีกด้วย
  5. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการละเล่นพื้นบ้าน - การละเล่นถือว่าเป็นการผ่อนคลายโดยเฉพาะในวัยเด็กซึ่งชอบความสนุกสนานเพลิดเพลิน ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยส่วนใหญ่จะใช้อุปกรณ์ในการละเล่นที่ประดิษฐ์มาจากธรรมชาติซึ่งแสดงให้เห็นวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ และรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืน
  6. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม - ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์ของแต่ละภาคเราสามารถพบหลักฐานจากร่องรอยของศิลปวัฒนธรรมที่ปรากฏกระจายอยูทั่วไป เช่น สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเทคนิค ความคิด ความเชื่อของบรรพบุรุษเป็นอย่างดี
  7. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับเพลงพื้นบ้าน - ภูมิปัญญาประเภทนี้ส่วนมากแสดงออกถึงความสนุกสนาน และยังเป็นคติสอนใจสำหรับคนในสังคม ซึ่งมีส่วนแตกต่างกันออกไปตามโลกทัศน์ของคนในภาคต่างๆ
  8. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับสมุนไพรและตำรายาพื้นบ้าน - ภูมิปัญญาประเภทนี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ของคนในอดีตและถ่ายทอดให้กับคนรุ่นหลังถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นปัจจัยสี่ ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ หากได้รับการพัฒนาหรือส่งเสริมจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตได้
  9. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการประดิษฐกรรม - เทคโนโลยีและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนไทยในแต่ละภาคนั้นถือเป็นการประดิษฐกรรมและหัตถกรรมชั้นเยี่ยม ซึ่งปัจจุบันไม่ได้รับความสนใจในการพัฒนาและส่งเสริมภูมิปัญญาประเภทนี้เท่าที่ควร หากมีการเรียนรู้และสืบทอดความคิดเกี่ยบกับการประดิษฐกรรมและหัตถกรรมให้แก่เยาวชน จะเป็นการรักษาภูมิปัญญาของบรรพชนได้อีกทางหนึ่ง
  10. ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ - เนื่องจากคนไทยมีอาชีพที่เกี่ยวกับเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนา ทำไร่ จึงทำให้เกิดภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรมในการดำรงชีวิตเพื่อแก้ปัญหาหรืออ้อนวอนเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูกและเพื่อเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรดังจะเห็นได้จากพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเกษตรทั่วทุกภูมิภาคของไทย

อาเซียน





บรูไน


1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) 

          ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า "เนการาบรูไนดารุสซาลาม" มีเมือง "บันดาร์เสรีเบกาวัน" เป็นเมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

         


กัมพูชา

2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)

          เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส  และเวียดนามได้

         


อินโดนีเซีย


3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)

          เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

          


ลาว

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR)

          เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ 

          


มาเลเซีย


5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

          เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

         

ฟิลิปปินส์


6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

          เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ

          


สิงคโปร์


7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)

          เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)

       


ประเทศไทย


8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

          เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ

         


เวียดนาม

9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)

          เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

          

ประเทศพม่า


10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

          มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ 

การรักษาเสื้อผ้า




๑. สิ่งแรกที่ควรทำคือ แยกผ้าสี ทุกสีออกจากกันโดยเฉพาะผ้าสีขาวกับสีดำ สองสีนี่สำคัญมากๆ สีอื่นๆ           ไม่เท่าไหร่

๒. แยกผ้าแต่ละชนิดออกจากกัน เช่น ผ้าขนหนู ชุดชั้นใน กางเกง เสื้อฯลฯ
ผ้าขาว
นำผ้าขาวไปแช่น้ำผงซักฟอกไว้ก่อน
วิธีซักผ้าขาวนี้ ได้จากชุดทำงานของตัวเอง เพราะจะเป็นชุดขาวทั้งเสื้อ กางเกง
คืนวันเสาร์ จะแช่ผ้าทิ้งค้างคืนไว้ในเครื่องซักผ้า แล้วมาซักอีกทีโน่น กลางคืนของวันอาทิตย์
อย่างคืนนี้ซักผ้าขาวที่แช่ไว้เมื่อตอนสองทุ่มครึ่ง ไม่ต้องไปใช้ไฮเตอร์ หรือน้ำยาสำหรับซักผ้าขาวแต่อย่างใด
ใช้ผงซักฟอกที่ขายทั่วๆไปนี่แหละ เวลาซักง่ายมากๆ ก็ซักโดยใช้เครื่องนี่แหละ ไม่ได้ไปนั่งแปรงตามขอบขากางเกงแต่อย่างใด
ปกเสื้อก็ไม่ได้แปรง แต่ผ้าซักออกมาแล้ว สะอาดทั้งตัว ตามขอบขากางเกง ปกเสื้อ ไม่มีคราบไคลต่างๆติด สะอาดจริงๆนะรับรองได้ตรงนี้
แล้วไม่ได้ใช้ครามลงไปร่วมกับผ้าแต่อย่างใด เป็นคนชอบผ้าสีขาวสะอาด ไม่ชอบให้มีสีครามๆผสม แบบออกสีฟ้าๆ
เวลาปั่นแห้ง จะปั่นแยก ไม่ปั่นรวมกับผ้าสีหรือผ้าอื่นๆ ถ้าไปปั่นรวมกับผ้าอื่นๆ
สีและเส้นใยของผ้าอื่นๆ จะทำให้สีของผ้าขาวแลดูหม่นหมอง และทำให้ดูเก่าเร็ว ไม่ขาวสะอาดตา
เหตุที่มีชุดทำงานเยอะ เพราะถ้ามีแค่ไม่กี่ชุด ผ้าถ้าใช้งานซ้ำบ่อยๆ สีจะหม่นเร็ว แลดูเก่าเร็ว
จึงมีชุดทำงานเยอะเพราะเหตุนี้ คือ ใส่แต่วันสลับเรียงตามลำดับไป เรียกว่าไม่ซ้ำชุดในแต่ละอาทิตย์
ผ้าสี
ผ้าสีตัวเองจะไม่ใช้ผงซักฟอกซัก เพราะสังเกตุมาหลายครั้งแล้ว
ยิ่งซักสียิ่งดูซีด เลยหันมาลองใช้น้ำยาซักผ้าชนิดเหลว ไม่ได้ใช้ของแพงแต่อย่างใด
ใช้น้ำยาซักผ้าชนิดเหลวของบิ๊กซีนี่แหละ เวลาซักเสร็จ ผ้าจะมีกลิ่นหอมสะอาด แถมสีผ้ายังคงมีสีสดใสไม่ซีด
ผ้าสีดำ
ผ้าสีดำก็ต้องแยกออกมาซักต่างหากเหมือนผ้าสีขาว
เวลาปั่นแห้งก็เช่นกัน จะไม่ปั่นรวมกับผ้าสีตลอดจนผ้าชนิดอื่นๆ
เพราะถ้าปั่นรวมผ้าอื่นๆ เส้นใยของผ้าอื่นๆจะมาเกาะที่ผ้าสีดำ ทำให้เนื้อผ้าเสีย
การแช่น้ำยาปรับผ้านุ่ม
เวลาแช่น้ำยาปรับผ้านุ่ม จะแช่ผ้าขาวก่อน เมื่อนำผ้าขาวขึ้นแล้ว จะเิมน้ำยาปรับผ้านุ่มลงไป
แล้วแช่ผ้าสีต่อ หลังจากนำมาผีขึ้น จะเติมน้ำยาปรับผ้านุ่มลงไปอีก แล้วจึงแช่ผ้าสีดำ
ทำแบบนี้ จะช่วยประหยัดในเรื่องการใช้น้ำและน้ำยาปรับผ้านุ่ม
วิธีตากผ้า
เวลาตากผ้า ควรกลับผ้า ไม่ควรตากผ้าโดยไม่กลับผ้า
เพราะเวลาที่ผ้าโดนแดด สีผ้าที่โดนแดดจะซีดและเก่าเร็ว ยอมเสียเวลาสักนิดละกัน
รีดผ้า
ถ้าเป็นกางเกง จะรีดด้านใน จะไม่รีดด้านนอก เพราะสีผ้าที่โดนความร้อนโดยตรง
จะทำให้สีผ้านั้นซีดและเก่าเร็ว
ส่วนเสื้อนั้น ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คงต้องรีดด้านนอกโดยไม่ได้กลับผ้าออกแต่อย่างใด
ชุดชั้นใน
ชุดชั้นในควรมีหลายๆชุด จะได้มีชุดชั้นในที่ดูใหม่เสมอ
เสื้อทับในหรือเสื้อกล้าม
ควรมีหลายๆตัว จะได้มีเสื้อทับในหรือเสื้อกล้ามที่ดูใหม่เสมอ
ของตัวเองที่มีใช้อยู่ทุกวันนี้มี ๓๐ ตัว มันคุ้มจริงๆนะ